จังหวัดศรีสะเกษ – 25 ธันวาคม 2568 / นายสุเทพ แก่งสันเทียะ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ มอบหมายให้ นายวรัท พฤกษาทวีกุล รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ในฐานะทำหน้าที่เลขาธิการสำนักงานลูกเสือแห่งชาติ เป็นประธานในพิธีปล่อยคาราวาน “ลูกเสือช่วยผู้ประสบภัยชายแดนไทย–กัมพูชา” ภายใต้โครงการลูกเสือช่วยเหลือผู้อื่นทุกเมื่อ “ทำดี ทำได้ ทำทันที” เพื่อส่งมอบความช่วยเหลือแก่ลูกเสือ บุคลากรทางการลูกเสือ และประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ชายแดน พร้อมด้วยนายสมใจ วิเศษทักษิณ หัวหน้าผู้ตรวจราชการ ศธ. นายเสริมฤทธิ์ หวายฤทธิ์ธนกุล ผู้ตรวจราชการ ศธ. ทำหน้าที่รองเลขาธิการ สลช. ผู้บริหาร ศธ. โดยมีนายสุกิจ เหลืองสกุลไทย รองผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ ให้การต้อนรับ ณ ค่ายลูกเสือจังหวัดศรีสะเกษ (ห้วยคล้า) ตำบลหมากเขียบ อำเภอเมืองฯ

โครงการลูกเสือช่วยเหลือผู้อื่นทุกเมื่อ “ทำดี ทำได้ ทำทันที” ถือเป็นปณิธานและนโยบายสำคัญของกิจการลูกเสือไทยภายใต้กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ที่มุ่งพัฒนาลูกเสือให้เป็นพลเมืองดีของสังคม ตามอุดมการณ์สำคัญของลูกเสือไทย โดยมุ่งปลูกฝังให้ลูกเสือและบุคลากรทางการลูกเสือยึดมั่นในคำปฏิญาณของลูกเสือ ได้แก่ การปฏิบัติหน้าที่เพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ การช่วยเหลือผู้อื่นทุกเมื่อ และการปฏิบัติตนตามกฎของลูกเสือ เพื่อให้ลูกเสือเป็นกำลังสำคัญในการสร้างสรรค์สังคมและช่วยเหลือประชาชนในยามที่ประเทศชาติประสบภาวะยากลำบาก
จากเหตุการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นระหว่างกองกำลังฝ่ายไทยและกองกำลังฝ่ายกัมพูชา บริเวณพื้นที่ชายแดน ตั้งแต่วันที่ 7 ธันวาคม 2568 ส่งผลให้ลูกเสือ บุคลากรทางการลูกเสือ และประชาชนในพื้นที่ได้รับความเดือดร้อน สำนักงานลูกเสือแห่งชาติ จึงร่วมกับสำนักการลูกเสือ ยุวกาชาดและกิจการนักเรียน สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานลูกเสือจังหวัด สำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้ประจำจังหวัด สถานศึกษาในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา และสำนักงานศึกษาธิการจังหวัด บูรณาการความร่วมมือจัดทำโครงการดังกล่าวขึ้น เพื่อระดมพลังจิตอาสาและส่งต่อความช่วยเหลือไปยังผู้ประสบภัย
นายวรัท พฤกษาทวีกุล กล่าวว่า ในนามกระทรวงศึกษาธิการ ขอบคุณทุกส่วนราชการในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ บุคลากรทางการศึกษา บุคลากรทางการลูกเสือ รวมถึงเครือข่ายทุกภาคส่วน ที่ร่วมแรงร่วมใจกันปฏิบัติตามคำปฏิญาณและกฎของลูกเสืออย่างเป็นรูปธรรม เพื่อแสดงให้ลูกเสือและบุคลากรทางการลูกเสือทั่วประเทศได้เห็นว่า คำปฏิญาณของลูกเสือทั้ง 3 ข้อ ว่าลูกเสือจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ลูกเสือจะช่วยเหลือผู้อื่นทุกเมื่อ และลูกเสือจะปฏิบัติตามกฎของลูกเสือ
การดำเนินโครงการในครั้งนี้ เป็นภาพสะท้อนที่ชัดเจนว่าพวกเราสามารถลงมือปฏิบัติให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ โดยเฉพาะหลักการสำคัญคือ “ลูกเสือช่วยเหลือผู้อื่นทุกเมื่อ” ขอขอบคุณทุกท่านที่ร่วมบริจาคทั้งกำลังกาย กำลังทรัพย์ และสิ่งของอุปโภคบริโภค เพื่อนำไปช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ในครั้งนี้ พร้อมทั้งเป็นการส่งต่อความห่วงใย สร้างขวัญกำลังใจ และยืนหยัดเคียงข้างพี่น้องประชาชนในยามวิกฤตอย่างแท้จริง
สิ่งของเครื่องอุปโภคบริโภคที่อยู่เบื้องหน้าพวกเรานี้ คือสัญลักษณ์ของ “ความเอื้ออาทร” และ “ความรัก” ที่พวกเรามีให้แก่พี่น้องร่วมชาติ การเดินทางของคาราวานในวันนี้ คือการนำพาความห่วงใยจากกระทรวงศึกษาธิการและสำนักงานลูกเสือแห่งชาติ ไปปลอบประโลมและสร้างรอยยิ้มให้กับผู้ที่ยากลำบาก ผมขอชื่นชมการยึดมั่นในคติพจน์ “ทำดี ทำได้ ทำทันที” เพราะความทุกข์ร้อนของประชาชนนั้นรอไม่ได้ การตัดสินใจลงมือทำอย่างรวดเร็วและเป็นระบบในวันนี้ จึงสะท้อนถึงประสิทธิภาพและหัวใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยการเสียสละของพวกท่านทุกคน
สำหรับขบวนคาราวานลูกเสือกระทรวงศึกษาธิการในครั้งนี้ ได้จัดกระจายความช่วยเหลือออกเป็น 7 สายหลักน้ำใจ มุ่งหน้าไปยังพื้นที่เป้าหมายใน 7 จังหวัดชายแดน เพื่อให้การช่วยเหลือเข้าถึงประชาชนอย่างรวดเร็วและทั่วถึง ได้แก่
สายที่ 1 จังหวัดศรีสะเกษ จังหวัดที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบและภัยพิบัติในหลายพื้นที่ ขบวนคาราวานได้เร่งนำความช่วยเหลือเข้าไปยังชุมชนที่ได้รับความเดือดร้อนอย่างหนัก เพื่อบรรเทาความทุกข์ยากและเสริมสร้างกำลังใจให้ประชาชนสามารถดำรงชีวิตและฟื้นฟูความเป็นอยู่ได้อย่างต่อเนื่อง
สายที่ 2 จังหวัดอุบลราชธานี มุ่งช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ชายแดนและชุมชนเปราะบาง โดยเฉพาะครอบครัวนักเรียนและประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่แน่นอนในพื้นที่ เพื่อสร้างความอุ่นใจและความมั่นคงในชีวิตประจำวัน
สายที่ 3 จังหวัดบุรีรัมย์ นำความช่วยเหลือไปยังพื้นที่ห่างไกลและชุมชนชายแดนที่ต้องการการสนับสนุนด้านปัจจัยพื้นฐาน ขบวนคาราวานลูกเสือได้ร่วมมือกับเครือข่ายในพื้นที่ เพื่อส่งต่อกำลังใจและความห่วงใยจากส่วนกลางสู่ประชาชนอย่างใกล้ชิด
สายที่ 4 จังหวัดสุรินทร์ มุ่งเน้นการช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ชายแดนที่ได้รับผลกระทบทั้งด้านเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ โดยลูกเสือและบุคลากรทางการศึกษาได้ร่วมกันลงพื้นที่ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและความเข้มแข็งให้แก่ชุมชน
สายที่ 5 จังหวัดจันทบุรี นำความช่วยเหลือไปยังประชาชนในพื้นที่ชายแดนภาคตะวันออกที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ต่าง ๆ โดยเน้นการดูแลกลุ่มเปราะบางและครอบครัวนักเรียน เพื่อเสริมสร้างคุณภาพชีวิตและความมั่นคงในระยะยาว
สายที่ 6 จังหวัดสระแก้ว มุ่งช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ชายแดนที่มีความจำเป็นเร่งด่วนด้านการดำรงชีพ ขบวนคาราวานลูกเสือได้เข้าถึงชุมชนต่าง ๆ เพื่อส่งมอบความช่วยเหลือและกำลังใจจากภาครัฐ
และสายที่ 7 จังหวัดตราด มุ่งหน้าไปยังพื้นที่ชายแดนและชุมชนชายฝั่ง เพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์และความยากลำบากในชีวิตประจำวัน เสริมสร้างขวัญกำลังใจและความเข้มแข็งให้กับชุมชนในพื้นที่
การจัดขบวนคาราวานทั้ง 7 สาย มีเป้าหมายเพื่อ ส่งมอบถุงยังชีพ เครื่องอุปโภคบริโภค และสิ่งของจำเป็นต่อการดำรงชีพ บรรเทาความเดือดร้อน และสร้างขวัญกำลังใจให้แก่ประชาชนในพื้นที่อย่างทั่วถึง สะท้อนบทบาทของลูกเสือไทยในการ “ช่วยเหลือผู้อื่นทุกเมื่อ” อย่างเป็นรูปธรรม
จากนั้น รองปลัด ศธ. และคณะได้เดินทางลงพื้นที่ต่อไปยังอำเภอขุขันธ์ จังหวัดศรีสะเกษ พร้อมด้วยรถบรรทุกสิ่งของอุปโภคบริโภคจากวิทยาลัยการอาชีพขุขันธ์ เพื่อมอบความช่วยเหลือประชาชน ณ ศูนย์พักพิงวัดนิคมสายเอก ซึ่งมีจำนวนผู้อพยพ 247 คน โดยมีผู้แทนหน่วยงานในพื้นที่ ผู้นำชุมชน และประชาชนเข้าร่วมรับมอบ พร้อมแสดงความขอบคุณต่อความห่วงใยและน้ำใจจากกระทรวงศึกษาธิการและสำนักงานลูกเสือแห่งชาติ ซึ่งนับเป็นการช่วยบรรเทาความเดือดร้อนและเสริมสร้างกำลังใจให้กับผู้ประสบภัยในช่วงเวลาที่ยากลำบากจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
“การดำเนินโครงการคาราวาน “ลูกเสือช่วยผู้ประสบภัยชายแดนไทย–กัมพูชา” ในครั้งนี้ นับเป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์ของพลังความร่วมมือจากทุกภาคส่วนภายใต้กระทรวงศึกษาธิการ ที่ร่วมกันขับเคลื่อนอุดมการณ์ของกิจการลูกเสือไทยให้เกิดผลเป็นรูปธรรม ผ่านการลงมือปฏิบัติจริงเพื่อช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนในยามวิกฤต ทั้งนี้ สำนักงานลูกเสือแห่งชาติจะยังคงเดินหน้าส่งเสริมบทบาทของลูกเสือและบุคลากรทางการลูกเสือให้เป็นกำลังสำคัญของสังคม พร้อมปลูกฝังจิตสาธารณะและจิตอาสาให้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ลูกเสือไทยเป็นพลังแห่งความดีงาม ที่ยืนหยัดเคียงข้างประชาชนและประเทศชาติในทุกสถานการณ์ ตามอุดมการณ์ “ช่วยเหลือผู้อื่นทุกเมื่อ” อย่างยั่งยืน“ รองปลัด ศธ. กล่าวทิ้งท้าย

อานนท์ วิชานนท์ / ข่าว-กราฟิก
ภารุจ พูลอำไภย์ / ภาพ-วิดีโอ
ภาพเพิ่มเติม https://drive.google.com/drive/folders/1Vzg3Dij-30r380mZ7sdzSafiQ53l6z20?usp=sharing
