10 กรกฎาคม 2567 / พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุมประสานภารกิจ ครั้งที่ 26/2567 ณ ห้องประชุมราชวัลลภ และผ่านระบบ e-Meeting
ภายหลังการประชุม รมว.ศธ. พร้อมด้วยนายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รมช.ศธ., นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ ผช.รมต.ศธ., นายวิศรุต ปู่เพ็ง ที่ปรึกษา รมช.ศธ., นายสุเทพ แก่งสันเทียะ ปลัด ศธ., ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการ กพฐ. และนายยศพล เวณุโกเศศ เลขาธิการ กอศ. แถลงข่าว ณ ห้องแถลงข่าว
รมว.ศธ. กล่าวว่า ขอให้ทุกท่านยึดหลักอริยสัจ 4 มาเป็นหลักในการทำงาน การศึกษาและทบทวนภารกิจต่าง ๆ ที่มีปัญหาและอุปสรรคที่เกิดขึ้น ทั้งในหน่วยงานและสถานศึกษา (ทุกข์) หาสาเหตุของปัญหาที่เกิดขึ้น มีการประเมินผลการดำเนินงาน (สมุทัย) ว่ามีสิ่งใดที่ต้องได้รับการพัฒนาและปรับปรุง ทั้งในส่วนของนโยบายและการปฏิบัติงาน (นิโรธ) เพื่อร่วมมือกันกำหนดแนวทางในการป้องกันและแก้ไข (มรรค) ให้นโยบายของกระทรวงศึกษาธิการบรรลุผลสำเร็จและมีประสิทธิภาพมากที่สุด สรุปสาระสำคัญ ดังนี้
ครม. เห็นชอบหลักการปรับเพิ่มเงินอุดหนุนค่าใช้จ่าย เพิ่มเงินเดือนครูเอกชน
รมว.ศธ. กล่าวว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการการปรับเพิ่มเงินอุดหนุนค่าใช้จ่ายในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน รายการเงินอุดหนุนรายบุคคล ในส่วนของเงินสมทบเป็นเงินเดือนครู สำหรับนักเรียนโรงเรียนเอกชน สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน ระยะที่ 1 ตั้งแต่ พ.ค. 2567 ปรับฐานเงินเดือนครูที่ใช้ในการคำนวณเงินอุดหนุนรายบุคคล จาก 15,050 บาท เป็น 16,500 บาท เงินอุดหนุน/คน/ปี ระดับก่อนประถมฯ-ประถมฯ 696 บาท ม.ต้น-ม.ปลาย และ ปวช. อัตรา 870 บาท ระยะที่ 2 ปี 2568 ปรับฐานเงินเดือนครูที่ใช้ในการคำนวณเงินอุดหนุนรายบุคคล จาก 16,500 บาท เป็น 18,150 บาท เงินอุดหนุน/คน/ปี ระดับก่อนประถมฯ-ประถมฯ 792 บาท ระดับมัธยมฯ ตอนต้น-ตอนปลาย และ ปวช. 990 บาท
นอกจากนี้ยังเห็นชอบให้มีการอุดหนุนเพิ่มเติมเพื่อช่วยเหลือโรงเรียนเอกชนขนาดเล็กตามแนวทางการปรับเพิ่มเงินอุดหนุนฯ ตั้งแต่เดือน พ.ค. 2567 ถึงเดือน ก.ย. 2570 และคณะรัฐมนตรียังได้มอบหมายให้ ศธ. ศึกษาแนวทางการให้ความช่วยเหลือโรงเรียนเอกชนขนาดเล็กที่มีความเหมาะสมต่อไป ทั้งนี้ได้มอบหมายให้ สพฐ. และ สช. ดำเนินงานหาแนวทางร่วมกันในทันที
การขับเคลื่อนเพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษา PISA
รมว.ศธ. กล่าวว่า ให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพัฒนาหลักสูตรให้สอดรับกับการพัฒนาสมรรถนะความฉลาดรู้ของผู้เรียน มีการกำหนดเป้าหมายในการดำเนินงาน และแสดงเป้าหมายที่ชัดเจนในการปรับปรุงและพัฒนา มีกระบวนการในการวัดผล ว่าสิ่งที่วัดผลไปแล้วนั้นส่งผลประโยชน์ต่อผู้เรียนอย่างไร ทั้งทางด้านการคิด ความฉลาดรู้และความคิดสร้างสรรค์ เสริมทักษะการ ฟัง พูด อ่าน เขียน และไม่ใช่แค่การพัฒนาผู้เรียนเท่านั้น แต่หมายถึงครูผู้สอน และทุกส่วนที่เกี่ยวข้องต้องร่วมมือกันในการปรับกระบวนการความคิดสร้างสรรค์
ทั้งยังได้รับทราบรายงานผลการขับเคลื่อนการยกระดับคุณภาพการศึกษาในการส่งเสริมสมรรถนะและความฉลาดรู้ของนักเรียนตามแนวทางโปรแกรมประเมินสมรรถนะนักเรียนมาตรฐานสากล (PISA) โดย สพฐ. ได้จัดทำระบบ Computer Based Test (PISA Style) เป็นการสร้างความคุ้นเคยของการทำข้อสอบด้วยระดับ Computer Based Test ซึ่งปัจจุบันมีนักเรียนที่เข้าสู่ระบบ Computer Based Test (PISA Style) จำนวน 303,821 คน ซึ่งถือเป็นผลที่บรรลุเป้าหมาย และจะได้มีการวิเคราะห์ผลการนำนักเรียนเข้าสู่ระบบฯ เพื่อนำเสนอผลการจัดกลุ่มนักเรียนในการทำข้อสอบเพื่อสร้างแรงจูงใจ และดำเนินการตามแผนการพัฒนาครูเพื่อการเสริมสร้างแรงจูงใจผ่าน PISA Mock Exam
นอกจากนี้ยังมีการเสนอร่างแนวทางการสร้างความตระหนักให้นักเรียนเห็นความสำคัญและประโยชน์ของการเข้าร่วมการทดสอบ PISA อาทิ กิจกรรม PISA Challenge Thailand 2024 : Gameified Tournament เป็นการพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ การแก้ปัญหาและการประยุกต์ใช้ความรู้ ส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีในการเรียนรู้ สร้างความตื่นตัวและความสนใจในการเรียนรู้ ผ่านรูปแบบการแข่งขันทางแพลตฟอร์มออนไลน์ หรือการให้รางวัลยกย่องสำหรับนักเรียนที่มีคะแนนเกินมาตรฐาน และการสร้างแรงจูงใจในระดับเขตพื้นที่
โดย สสวท. ร่วมกับ สพฐ. ในการอบรมเชิงปฏิบัติการเพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาและพัฒนาศักยภาพการจัดการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมสมรรถนะความฉลาดรู้ของนักเรียนในสถานศึกษา สังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามแนวทาง PISA ให้กับผู้อำนวยการสถานศึกษา ศึกษานิเทศก์ และครูผู้สอนวิชาภาษาไทย วิทยาศาสตร์ และคณิตศาสตร์ ของโรงเรียนที่จัดการศึกษาระดับมัธยมศึกษาจำนวน 2,902 คน
สำหรับผลการประเมินความคิดสร้างสรรค์ของ PISA 2022 โดยมี 64 ประเทศ ที่เข้าร่วมทดสอบความคิดสร้างสรรค์ และ 74 ประเทศ/เขตเศรษฐกิจ เข้าร่วมตอบแบบสอบถาม ซึ่งประเทศไทยมีค่าคะแนนเฉลี่ยความคิดสร้างสรรค์อยู่ที่ 21 คะแนน ค่าเฉลี่ย OECD อยู่ที่ 33 คะแนน ดังนั้นจึงต้องร่วมมือกันในการสร้างความสามารถในการมีส่วนร่วมในการสร้างการประเมิน และการปรับปรุงแนวคิดซึ่งทำให้เกิดแนวคิดในการแก้ปัญหาที่แปลกใหม่และหลากหลาย มีการพัฒนาองค์ความรู้ และเป็นการแสดงออกถึงจินตนาการที่เกิดประโยชน์ เพื่อปรับปรุงให้คะแนนความคิดสร้างสรรค์ของประเทศไทยสูงขึ้น
แนวทางการขับเคลื่อนนโยบาย Zero Dropout
รมว.ศธ. กล่าวว่า แนวทางการขับเคลื่อนนโยบาย Zero Dropout ของ ศธ. นั้น ขอให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำฐานข้อมูลของเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษาตามช่วงอายุของผู้เรียน เด็กและเยาวชนอายุ 3 – 18 ปี ที่ไม่พบข้อมูลในระบบการศึกษา ทั้งในส่วนของการศึกษาปฐมวัย และการศึกษาภาคบังคับ ทั้งในและนอกสถานศึกษาในปีการศึกษาปัจจุบันและย้อนหลัง 3 ปี ให้จำนวนข้อมูลมีความถูกต้องมากที่สุด เพื่อเป็นฐานข้อมูลที่จะนำไปสู่การดำเนินการช่วยเด็กและเยาวชนให้กลับเข้าสู่ระบบการศึกษา
โดยยึดแนวทางว่า “ผู้เรียน” มีจำนวนเท่าไร และกลับมาสู่ระบบการศึกษาจำนวนเท่าไร และเมื่อกลับเข้าสู่ระบบการศึกษาแล้ว จะมีกระบวนการอย่างไรที่จะไม่ให้ผู้เรียน Dropout อีก ซึ่งตนไม่ได้กำหนดกรอบระยะเวลาในการค้นหาเด็กที่หลุดออกนอกระบบการศึกษา แต่ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการสำรวจเด็กตกหล่นให้เร็วที่สุด เพื่อดึงเด็กเข้าสู่ระบบการศึกษา ซึ่งหากเด็กหรือผู้ปกครองประสงค์ที่จะศึกษาการศึกษาทางเลือก เราก็มีกรมส่งเสริมการเรียนรู้ (สกร.) ที่พร้อมจะสอนทักษะอาชีพให้เลี้ยงตัวเองและครอบครัวได้
ทั้งนี้ยังได้รับทราบแนวทางการขับเคลื่อนนโยบาย Zero Dropout ตามที่นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมบูรณาการการทำงานแก้ปัญหาเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษา ค้นหาช่วยเหลือเยาวชนอายุ 3 – 18 ปี ที่ไม่พบข้อมูลในระบบการศึกษา และดูแลช่วยเหลือเยาวชนที่อยู่นอกระบบการศึกษา ให้กลับเข้าสู่ระบบการศึกษา ตามมาตรการขับเคลื่อนประเทศไทยเพื่อแก้ปัญหาเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษา ให้กลายเป็นศูนย์ หรือ “Thailand Zero Dropout” ภายใต้ 4 มาตรการ
1. มาตรการค้นหาเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษา ผ่านการบูรณาการและเชื่อมโยงข้อมูลของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
2. มาตรการติดตาม ช่วยเหลือ ส่งต่อ และดูแลเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษา โดยบูรณาการการทำงานระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ มีเป้าหมายเพื่อช่วยเหลือเด็กและเยาวชนแต่ละรายอย่างเหมาะสม
3. มาตรการจัดการศึกษาและเรียนรู้แบบยืดหยุ่น มีคุณภาพ และเหมาะสมกับศักยภาพของเด็กและเยาวชนแต่ละราย มีเป้าหมายให้เด็กและเยาวชนได้รับการศึกษาและการพัฒนาเต็มศักยภาพของตนเอง
4. มาตรการส่งเสริมผู้ประกอบการภาคเอกชนให้เข้ามาร่วมจัดการศึกษาหรือเรียนรู้มีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นให้ผู้ประกอบการเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาหรือการเรียนรู้ในลักษณะ Learn to Earn
โดย สกศ. ในฐานะเจ้าภาพหลักได้เสนอโครงการ/กิจกรรมสำคัญที่ดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ที่สอดคล้องและส่งเสริมนโยบาย Zero Dropout คือ การขับเคลื่อนระบบธนาคารหน่วยกิตสู่การปฏิบัติ โครงการการผลิตและพัฒนากำลังคนตามช่วงวัยการศึกษาขั้นพื้นฐานที่รองรับการพัฒนาการศึกษาของประเทศ และการส่งเสริมการจัดการศึกษาสำหรับผู้มีความสามารถพิเศษ (Gifted and Talented Education) ซึ่งจะได้ดำเนินการต่อไป
การจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 28 กรกฎาคม 2567
รมว.ศธ. กล่าวว่า กำหนดการพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 พุทธศักราช 2567 ขอความร่วมมือผู้บริหารเข้าร่วมพิธี ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.) ได้แจ้งหมายในพิธีทำบุญตักบาตรถวายพระราชกุศล พิธีถวายสัตย์ปฏิญาณเพื่อเป็นข้าราชการที่ดีและพลังของแผ่นดิน พิธีลงนามถวายพระพรฯ ณ ท้องสนามหลวง ร่วมเข้าเฝ้าฯ ตามหมายกำหนดการพระราชพิธีมหามงคลฯ ณ ศาลาสหทัยสมาคม และพระที่นั่งอัมรินทรวินิจฉัย ในพระบรมมหาราชวัง พิธีถวายเครื่องราชสักการะและวางพานพุ่ม และพิธีจุดเทียนชัยถวายพระพรชัยมงคล ณ ท้องสนามหลวง
การจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติฯ ในส่วนของกระทรวงศึกษาธิการ ได้กำหนดจัดพิธีเจริญพระพุทธมนต์และทำบุญตักบาตรถวายพระราชกุศล พิธีถวายสัตย์ปฏิญาณเพื่อเป็นข้าราชการที่ดีและพลังของแผ่นดินและการลงนามถวายพระพรฯ นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมการบริจาคโลหิต ณ หอประชุมคุรุสภา กระทรวงศึกษาธิการ และส่วนภูมิภาค ณ สถานที่ตั้งของหน่วยงาน สำนักงานเหล่ากาชาดจังหวัด โรงพยาบาลในพื้นที่ เพื่อเป็นการร่วมเฉลิมพระเกียรติแสดงความจงรักภักดี และน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และเพื่อแสดงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของชาวกระทรวงศึกษาธิการ
ข้อสั่งการของ รมว.ศธ.
รมว.ศธ. กล่าวว่า ขอให้ทุกหน่วยงานเร่งสำรวจสาธารณูปโภคในสถานศึกษาและหน่วยงาน โดยเฉพาะเรื่องพลังงานไฟฟ้า และเตรียมแนวทางในการลดการใช้จ่ายค่าสาธารณูปโภคทุกประเภท โดยให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ร่วมกับอาชีวศึกษา ในการสำรวจความต้องการการใช้ไฟฟ้าของสถานศึกษา สภาพพื้นที่ สถานที่ตั้งของโรงเรียน จำนวนนักเรียนและจำนวนบุคลากร เพื่อขอรับการสนับสนุนการติดโซล่าเซลล์เพื่อลดค่าใช้จ่าย อาจขอรับการสนับสนุนจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.)
การทำงานของ ศธ. ในแต่ละภารกิจนั้น ได้มีการจัดทำฐานข้อมูลโดยศูนย์เทคโนโลยีและสารสนเทศ สป. เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับทุกหน่วยงาน ที่จะสามารถเข้ามารายงานผลการดำเนินงานตามข้อสั่งการ อาทิ ข้อมูลประเภทการใช้ไฟฟ้าของสถานศึกษา ข้อมูลนักเรียนรหัส G (เด็กไม่มีหลักฐานทางทะเบียนราษฎร์) เด็กตกหล่นที่ไม่อยู่ในระบบการศึกษา จำนวนนักเรียนรายชั้น และจำนวนสถานศึกษา ครูและนักเรียน เพื่อให้ทุกหน่วยงานนำฐานข้อมูลที่มีร่วมกันไปดำเนินงานแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็วและทันท่วงที บูรณาการการทำงานร่วมกัน เพราะทุกนโยบายไม่สามารถดำเนินงานได้เพียงหน่วยเดียว แต่ต้องอาศัยความร่วมมือ ร่วมใจ ร่วมแก้ไข ร่วมประสาน “จับมือไว้ แล้วไปด้วยกัน”
อานนท์ วิชานนท์ / ข่าว
พีรณัฐ ยุชยะทัต / ภาพ



















